Apple Home - Apple World Travel
เวลาทำการ

ทุกวัน 9.00 - 22.00 น.

เบอร์โทรติดต่อ

083-2686965

ซ่อน

ท่องโลก
ไปกับเรา

ท่องโลก
ไปกับเรา
Apple World Travel

    ไม่พบโปรแกรมทัวร์

      บทความ
      ท่องเที่ยว

      • ขั้นตอนการลง Visit Japan Web แบบละเอียด
        ขั้นตอนการลง Visit Japan Web แบบละเอียด
        Apple World Travel - พฤศจิกายน 29, 2022

        ขั้นตอนการลง Visit Japan Web แบบละเอียด >> shorturl.at/BEM37

      • How to ต่อวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา ทางไปรษณีย์ ทางเลือกแสนสะดวกช่วง COVID – 19
        How to ต่อวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา ทางไปรษณีย์ ทางเลือกแสนสะดวกช่วง COVID – 19
        Apple World Travel - สิงหาคม 19, 2021

        หากใครเคยทำวีซ่าท่องเที่ยว (B1/B2) ที่มีอายุ 10 ปีหรือวีซ่าผ่านแดน/ลูกเรือ C1/D ที่ยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุไม่เกิน 48 เดือน (4ปี) นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (ปกติจะเป็นกรณีหมดอายุไม่เกิน 1 ปี) และเคยพิมพ์ลายนิ้วมือมาแล้ว เราสามารถทำวีซ่าทางไปรษณีย์ได้เลย ไม่ต้องไปสัมภาษณ์ที่สถานฑูตนะ รีวิวนี้จะมาบอกขั้นตอนต่างๆในการสมัครต่อวีซ่าทางไปรษณีย์โดยขอเน้นไปทางวีซ่าท่องเที่ยวนะคะ

        คุณสมบัติการขอยื่นวีซ่าทางไปรษณีย์ (อ้างอิงจากเว็บไซต์สถานฑูต)

        1. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) หรือ C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) ที่ยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุแล้วไม่เกิน 48 เดือน (สี่ปี) นโยบายนี้มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 (ปกติจะหมดอายุไม่เกิน 12 เดือน)สำหรับวีซ่าประเภทอื่นๆ กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        2. ข้าพเจ้าอยู่ในประเทศไทยในขณะที่สมัคร
        3. ข้าพเจ้าไม่ได้เกิด หรือถือหนังสือเดินทางของประเทศคิวบา เกาหลีเหนือ ซีเรีย ซูดาน หรือ อิรัก
        4. วีซ่าที่ข้าพเจ้าเคยได้รับในครั้งก่อน ไม่ได้สูญหาย ถูกขโมย หรือถูกยกเลิก
        • หากสูญหาย ถูกขโมย หรือถูกยกเลิก กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        5. ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และสัญชาติที่ระบุอยู่บนหน้าหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบันของข้าพเจ้าตรงกับข้อมูลในวีซ่าที่ข้าพเจ้าเคยได้รับในครั้งก่อน
        • หากชื่อ และ/หรือ นามสกุลแตกต่างกับวีซ่าที่ท่านเคยได้รับในครั้งก่อน กรุณาแนบสำเนาใบเปลี่ยนชื่อ และ/หรือ นามสกุลที่ออกโดยหน่วยงานราชการ
        • หากวันเดือนปีเกิด และ/หรือ สัญชาติไม่ตรงกับวีซ่าที่ท่านเคยได้รับในครั้งก่อน กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ
        6. ข้าพเจ้าได้รับวีซ่าครั้งก่อน ณ ขณะที่ข้าพเจ้ามีอายุ 14 ปีขึ้นไป และข้าพเจ้าเคยทำการพิมพ์ลายนิ้วมือครบทั้ง 10 นิ้ว ระหว่างที่เข้ารับสัมภาษณ์วีซ่าครั้งก่อน
        • สถานทูตฯและสถานกงสุลสหรัฐฯ เริ่มทำการพิมพ์ลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550
        7. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าประเภทเดียวกันกับวีซ่าปัจจุบันที่ยังไม่หมดอายุ หรือวีซ่าที่เคยได้รับในครั้งก่อน
        • สำหรับการต่ออายุวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) และ C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) วีซ่าล่าสุดที่ผู้สมัครได้รับต้องมีอายุการใช้งานเต็ม
        • สำหรับการต่ออายุวีซ่าประเภท C1/D (ผ่านแดน/ลูกเรือ) ผู้สมัครต้องแนบจดหมายรับรองการทำงานจากบริษัท
        • สำหรับผู้สมัครที่มีอายุต่ำกว่า14 ปี ต้องแนบสำเนาใบสูติบัตร และ สำเนาหน้าวีซ่าประเภท B1/B2 (ธุรกิจ/ท่องเที่ยว) ที่ยังไม่หมดอายุของบิดา หรือ มารดาท่านใดท่านหนึ่ง หรือทั้งสองท่าน หรือผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
        8. ข้าพเจ้าต้องการต่ออายุวีซ่าสหรัฐฯกับสถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯในเขตพื้นที่ที่ข้าพเจ้ามีถิ่นพำนักอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ข้าพเจ้ารับทราบว่าข้าพเจ้าอาจได้รับการติดต่อเพื่อเข้ามาสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯ หรือสถานกงสุลฯ
        9. วีซ่าล่าสุดที่ข้าพเจ้าได้รับไม่มีคำระบุใดๆ ในช่อง Annotation เช่น “Clearance Received” “Waiver Granted” หรือ “Fingerprints Waived”
        10. วีซ่าล่าสุดที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่ในหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน หรือ อยู่ในหนังสือเดินทางเล่มเก่าของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าจะยื่นพร้อมใบสมัครทางไปรษณีย์
        11. ข้าพเจ้าไม่เคยถูกปฏิเสธการเดินทางเข้าสหรัฐฯ
        12. ข้าพเจ้าไม่เคยถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯ หรือ หากข้าพเจ้าเคยถูกปฏิเสธวีซ่าสหรัฐฯมาก่อน ข้าพเจ้าได้รับการอนุมัติวีซ่าในภายหลัง ซึ่งเป็นวีซ่าประเภทเดียวกันกับที่ข้าพเจ้ากำลังต่ออายุ
        13. ข้าพเจ้าตอบ “ไม่” (No) ในส่วนของคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและประวัติ (Security and Background) ในแบบฟอร์ม DS-160 ทุกข้อ  

        ซึ่งถ้าหากเราขาดข้อใดข้อหนึ่งไป ต้องนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตใหม่นะ ถ้าหากมีคุณสมบัติครบทุกข้อแล้ว

        อ่านขั้นตอนการต่อวีซ่าได้เลย

        ขั้นตอนที่ 1

        – กรอกแบบฟอร์ม DS-160

        – กรุณาอ่าน วิธีการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 อย่างละเอียด โดยข้อมูลทั้งหมดที่กรอกนั้นต้องถูกต้องและตรงตามความจริง หลังจากได้ทำการกดยืนยัน (submitted) แบบฟอร์ม DS-160 ของแล้ว จะไม่สามารถทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ได้อีก

        *ศูนย์บริการข้อมูลไม่สามารถให้ความช่วยเหลือในการกรอกแบบฟอร์ม DS-160 นี้ได้*

        **โปรดทราบ: จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์เพื่อพิมพ์ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ของในขั้นตอนนี้

        ขั้นตอนที่ 2

        – สร้างโปรไฟล์ และชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า

        – โปรดศึกษาข้อมูลที่อธิบายไว้ใน หน้าค่าธรรมเนียมวีซ่า ซึ่งจะแสดงรายละเอียดของวีซ่าแต่ละประเภทและค่าธรรมเนียมทั้งในสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯและสกุลเงินบาท

        – สำหรับรายละเอียดวิธีการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า กรุณาคลิกที่นี่

        – หลังจากที่ชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าเรียบร้อยแล้ว กรุณาเก็บใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าไว้

        ขั้นตอนที่ 3

        ล็อกอิน เข้าโปรไฟล์ของด้วยรหัสผ่านเดิมที่คุณได้กำหนดไว้ระหว่างขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า เพื่อตอบคำถามและพิมพ์แบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด

        ข้อมูลที่จะต้องกรอกในขั้นตอนนี้คือ

        – หมายเลขหนังสือเดินทางของท่าน

        – หมายเลขใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า (คลิกที่นี่ หากท่านต้องการความช่วยเหลือในการค้นหาหมายเลขใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า) และ

        – หมายเลขบาร์โค้ด 10 หลักที่ระบุไว้บนใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ของคุณ

        ขั้นตอนที่ 4 (ขั้นตอนสุดท้าย)

        – เตรียมเอกสารและยื่นเอกสารผ่านทาง สำนักงานไปรษณีย์ไทย (กรุณาตรวจสอบเอกสารตาม checklist ที่ระบุด้านล่าง)

        – กรุณาปฏิบัติตามขั้นตอนใน checklist ที่ระบุไว้บนแบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด และส่งเอกสารมายังสถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทพหรือสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำเชียงใหม่

        – เมื่อผลการพิจารณาวีซ่าของคุณเสร็จสิ้นแล้ว สำนักงานไปรษณีย์ไทยจะจัดส่งหนังสือเดินทางและเอกสารคืนให้กับท่านตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้

        เอกสารที่ต้องใช้ในการต่ออายุวีซ่าทางไปรษณีย์

        – แบบฟอร์มยืนยันการสมัครวีซ่าทางไปรษณีย์ที่มีหมายเลข UID และ QR โค้ด

        – หนังสือเดินทางเล่มปัจจุบันซึ่งจะต้องมีหน้าว่างอย่างน้อยสองหน้าเพื่อการติดวีซ่า

        – หนังสือเดินทางเล่มเก่าที่มีวีซ่าสหรัฐฯที่ได้รับล่าสุดซึ่งยังไม่หมดอายุ หรือ หมดอายุไม่เกิน 24 เดือน (หากวีซ่าดังกล่าวไม่ได้อยู่ในหนังสือเดินทางเล่มปัจจุบัน)

        – ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ที่มีแถบบาร์โค้ด ซึ่งกรอกครบถ้วนและได้ทำการกดยืนยัน (submitted) ออนไลน์แล้ว

        – รูปถ่ายสี สองรูป (ขนาด 5×5 เซนติเมตร หรือ 2×2 นิ้ว พื้นหลังสีขาว มีอายุไม่เกินหกเดือน ไม่สวมใส่แว่นตา คอนแทคเลนส์สี หรือหมวก) **โปรดจำไว้ว่า การยื่นรูปถ่ายที่ขาดคุณสมบัติอาจมีผลให้กระบวนการต่ออายุวีซ่าของท่านล่าช้า**

        – ใบเสร็จชำระค่าธรรมเนียมวีซ่า

        – สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ และ/หรือ นามสกุลที่ออกโดยหน่วยงานราชการ (หากมีการเปลี่ยนแปลง)

        ข้อควรรู้เพิ่มเติม

        – การยื่นวีซ่าผ่านทางไปรษณีย์ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าวีซ่าของคุณจะได้รับการอนุมัติ

        – ในบางกรณี ผู้สมัครวีซ่าอาจได้รับการติดต่อให้มาเข้ารับการสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯ อย่างเช่นในกรณีของผู้สมัครที่กรอกข้อมูลไม่สมบูรณ์ หรือยื่นเอกสารไม่ครบ โดยเจ้าหน้าที่สถานทูตฯหรือสถานกงสุลฯจะติดต่อไปโดยตรงเพื่อแจ้งให้ทราบหากจำเป็นต้องมาเข้ารับการสัมภาษณ์ หรือต้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม

        – การต่ออายุวีซ่าทางไปรษณีย์จะใช้เวลาประมาณ15 วันทำการ หากมีความจำเป็นจะต้องเดินทางอย่างเร่งด่วน กรุณาจองนัดสัมภาษณ์กับทางสถานทูตฯ

        การติดตามสถานะการจัดส่งเอกสารการต่ออายุวีซ่า

        หากคุณยื่นเอกสารสมัครวีซ่าผ่านทาง จุดรับยื่นเอกสารของสำนักงานไปรษณีย์ไทย กรุณาเก็บหลักฐานยืนยันการส่งเอกสารไว้กับตัว โดยจะสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่งเอกสารการต่ออายุวีซ่าได้จาก เว็บไซต์ของสำนักงานไปรษณีย์ไทย

        ภายในสถานการณ์การเช่นนี้ การเพิ่มช่องทางไปรษณีย์ถือเป็นอีกหนึ่งการจัดการที่ยอดเยี่ยม ช่วยเพิ่มตัวเลือกให้กับผู้ที่จำเป็นต้องต่อวีซ่า ให้สามารถดำเนินการได้ในทันทีโดยไม่ต้องรอให้สถานทูตฯเปิดให้บริการ

        สำหรับใครที่มีข้อสงสัย และอยากสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อไปยังสถานทูตฯได้โดยตรง หรือที่เพจ : U.S. Embassy Bangkok

        ที่มา: U.S. Embassy Bangkok

      • ขอวีซ่า เชนเก้น(Schengen)..ทำอย่างไร มาดูกันเลย
        ขอวีซ่า เชนเก้น(Schengen)..ทำอย่างไร มาดูกันเลย
        Apple World Travel - สิงหาคม 17, 2021

        วีซ่าเชงเก้นเข้าได้กี่ประเทศ?

        บุคคลที่ได้รับวีซ่าเชงเก้นจะสามารถเดินทางได้โดยเสรีไปยัง 26 ประเทศเชงเก้น โดยไม่ต้องขอตรวจวีซ่าที่ชายแดนของแต่ละประเทศอีกเพราะมีนโยบายด้านวีซ่าร่วมกัน ประกอบไปด้วยประเทศในยุโรป 26 ประเทศ ในจำนวนนี้มี 22 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเชก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี แลตเวีย ลิธัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สโลวัก สโลวีเนีย สเปน และสวีเดน และอีก 4 ประเทศนอกสหภาพยุโรป คือ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์

        สำหรับการขอวีซ่าเชงเก้นในแต่ละประเทศนั้นจะมีกฎระเบียบเบื้องต้นใกล้เคียงกัน พิจารณา หรือเอกสารเพิ่มเติมต่างกันบ้าง แต่ก็อาจจะมีบางประเทศที่แตกต่างออกไป เช่น อิตาลี ออสเตรีย สเปน และอื่นๆ ให้เราดำเนินการผ่านหน่วยงานกลาง VFS Global , ฝรั่งเศสจะผ่านทาง TLS หรือบางประเทศทางสถานทูตดำเนินการเอง ซึ่งระบบบางอย่างจะต่างกันไป เช่น เรื่องนัดหมาย หรือเวลา โดยสำหรับการเดินทางระยะสั้น ไม่เกิน 90 วัน และขอล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน

        เตรียมตัวก่อนยื่นเอกสารขอวีซ่าเชงเก้น

        การวางแพลนท่องเที่ยวนั้นสำคัญ ต้องวางแผนว่าเราจะเข้าประเทศไหน เที่ยวต่อประเทศไหน และออกประเทศไหน แต่ละประเทศใช้เวลาพำนักอยู่กี่วัน การวางแพลนนี้จะสามารถตัดสินได้ค่ะว่าเราจะต้องขอวีซ่าเชงเก้นกับสถานทูตประเทศอะไร

        ปัจจัยหลัก 2 ข้อที่ต้องจำขึ้นใจเลยคือ

        • เราวางแผนจะพำนักอยู่ในประเทศไหนนานที่สุดให้ขอวีซ่าเชงเก้นกับสถานฑูตประเทศนั้นครับ เช่น แพลนของเราคือ ฝรั่งเศส 3 วัน เยอรมัน 5 วัน อิตาลี 4 วัน นั่นหมายความว่าเราต้องขอวีซ่าเยอรมันจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยนั่นเองครับ สำหรับคนที่เคยยื่นขอวีซ่าเชงเก้นมาก่อนจะทราบดีว่าการขอวีซ่าเยอรมันนั้นยากสุดๆ แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลยนะคะ
        • หากเราใช้เวลาพำนักอยู่ในประเทศที่เราเดินทางไปเท่ากันทุกประเทศให้ขอวีซ่าเชงเก้นกับประเทศแรกที่เราเดินทางไปถึงครับ เช่น แพลนของเราคือ เยอรมัน 3 วัน ฝรั่งเศส 3 วัน อิตาลี 3 วัน และเราจองตั๋วเครื่องบินจากไทยไปลงที่ประเทศเยอรมันเป็นประเทศแรก นั่นหมายความว่าเราต้องขอวีซ่าเยอรมันจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยนั่นเองค่ะ

        ขั้นตอนเตรียมเอกสารทำวีซ่าในการขอวีซ่าเชงเก้น

        สำหรับใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวยุโรปต้องทำการบ้านและเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นกันให้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะในแต่ละประเทศจะมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และการสัมภาษณ์ยากง่ายแตกต่างกันออกไป ผู้ขอวีซ่าควรเข้าไปศึกษาจากเวปไซด์ของประเทศนั้นๆ ก่อน เพื่อความถูกต้องของข้อมูลและความเรียบร้อยในการเตรียมเอกสาร ว่าแล้วก็มาจัดเอกสารและเรียนรู้วิธีขอเชงเก้นวีซ่าตั้งแต่ขั้นตอนแรกกันเลย

        1. กรอกใบคำร้องขอวีซ่า 

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า สามารถดาวน์โหลด ได้จากเวปไซต์ของสถานทูตในประเทศที่คุณจะไปเป็นหลัก เช่น

        • สถานกงสุลเอสโตเนีย – คลิก
        • สถานทูตฝรั่งเศส – คลิก
        • สถานทูตเบลเยี่ยม – คลิก
        • สถานทูตประจำราชอาณาจักรเดนมาร์ก – คลิก
        • สถานทูตฟินแลนด์ – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสาธารณรัฐโปแลนด์ – คลิก
        • สถานทูตประจำประเทศสาธารณรัฐเช็ก – คลิก
        • สถานทูตสวีเดน – คลิก
        • สถานทูตเนเธอร์แลนด์ – คลิก
        • สถานทูตออสเตรีย – คลิก
        • สถานทูตกรีซ – คลิก
        • สถานทูตสโลวาเกีย – คลิก
        • วีซ่ามอลต้า (สถานทูตออสเตรียเป็นตัวแทน) – คลิก
        • วีซ่าไอซ์แลนด์ (สถานทูตเดนมาร์กเป็นตัวแทน) – คลิก

        การเตรียมเอกสารทำวีซ่า หลังจากกรอกใบคำร้องขอวีซ่าแล้วสามารถยื่นเอกสารได้ที่สถานทูต หรือหน่วยงานที่เป็นผู้จัดการรับเอกสารการยื่นคำร้องขอวีซ่า โดยควรยื่นไม่เกิน 3 เดือนก่อนเดินทาง และไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนเดินทาง ถ้าเราจะไปมากกว่า 1 ประเทศในทริปนี้ ให้ยื่นเอกสารขอวีซ่าจากสถานฑูตประเทศที่เราจะไปพำนักอยู่นานที่สุด แต่ถ้าจะไปประเทศละแค่วันสองวัน ก็ยื่นเอกสารวีซ่าเชงเก้นจากประเทศแรกที่เราจะเข้าไปก็ได้เช่นกัน

        2. พาสปอร์ต

        ใครที่พาสปอร์ตใกล้จะหมดอายุ ควรต่อพาสปอร์ตให้เรียบร้อย เพราะพาสปอร์ตต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 3 เดือนจากวันที่เดินทางกลับ และพาสปอร์ตควรมีที่ว่างอย่างน้อย 2 หน้า และควรเตรียมสำเนาไว้อย่างน้อยๆ 2 ฉบับ หรือมากกว่า และควรเตรียมพาสปอร์ตเก่าที่มีวีซ่าของประเทศอื่นๆ เช่น อังกฤษ หรืออเมริกาไปแสดงในวันสัมภาษณ์ด้วย

        3. รูปถ่าย

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 2 รูป สีพื้นหลังควรเป็นสีขาว หรือสีอ่อน ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ไม่ผ่านการปรับแต่งรูปภาพใดๆ ทั้งสิ้น

        4. หนังสือรับรองการทำงาน

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า หนังสือรับรองการทำงานที่เป็นภาษาอังกฤษ และเอกสารมีอายุไม่เกิน 1 เดือน

        5. หนังสือรับรองจากธนาคาร

        หนังสือรับรองธนาคารหรือเอกสารที่แสดงถึงรายได้ของผู้ขอวีซ่าช่วง 6 เดือนย้อนหลัง

        6.รวบรวมเอกสารสำเนาการจองที่พัก และตั๋วโดยสาร

        ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน รถไฟ ฯลฯ ใช้แค่หลักฐานการจองก็พอ ดังนั้น ควรใช้บัตรเครดิตจองไปก่อน อย่าเพิ่งซื้อก่อนได้วีซ่า เผื่อมีการเปลี่ยนแปลง

        7. รายละเอียดแผนการเดินทาง

        การเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นจะต้องบันทึกให้ละเอียดว่าจะมีการเดินทางเข้า – ออก ประเทศใดบ้าง โดยอาจเขียนเป็นรายวันว่า ไปประเทศใด เข้าพักที่ไหน เดินทางอย่างไร แบบละเอียด

        8. หนังสือเชิญจากบริษัท หน่วยงาน ที่ระบุวัตถุประสงค์ชัดเจน

        หรือหนังสือรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวระหว่างผู้เชิญและผู้ยื่นวีซ่า (เช่น สูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน)

        9.ค่าธรรมเนียม

        เตรียมเอกสารทำวีซ่า จะมีค่าธรรมเนียมในการทำวีซ่า ประมาณ 2,500 บาท

        10. กรรมธรรม์ประกันภัยการเดินทาง

        การเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นจำเป็นต้องมี ประกันการเดินทางที่เชื่อถือได้ และมีวงเงินคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลอย่างน้อย 30,000 ยูโร หรือประมาณ 1,300,000 บาทขึ้นไป โดยจะต้องครอบคลุมตลอดทั้งช่วงของการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของตนเองควรมองหาประกันในต่างประเทศที่คุ้มครองทั้งค่ารักษาพยาบาล อุบัติเหตุฉุกเฉินสำหรับการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งให้คำปรึกษาแนะนำทางการแพทย์ตลอด 24 ชั่วโมง และครอบคลุมการคุ้มครองเกี่ยวกับการเดินทางเช่นกระเป๋าหาย หรือ ไฟลท์ดีเลย์อีกด้วย โดยควรศึกษารายชื่อบริษัทประกันที่สถานทูตแต่ละประเทศยอมรับอย่างเช่นประกันภัยจากซิกน่า เป็นต้น

        เมื่อเตรียมเอกสารวีซ่าเชงเก้นทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการทำนัดขอสัมภาษณ์ ซึ่งการตัดสินของสถานฑูตจะอยู่บนพื้นฐานของคำร้อง เอกสารสนันสนุน และการสัมภาษณ์ ถ้าโดนปฎิเสธวีซ่า ทางผู้จัดทำจะไม่สามารถคืนค่าธรรมเนียมได้ โดยเหตุผลในการปฏิเสธวีซ่าอาจเป็น

        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่มีเอกสารการเดินทางที่ยังคงมีอายุ
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่สามารถแสดงเอกสารยืนยันเหตุผลของการเดินทางได้
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าไม่มีเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในระหว่างการเดินทางได้
        • ผู้ยื่นขอมีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงเข้าประเทศโดยผิดกฏหมาย
        • ผู้ยื่นขอวีซ่าอาจถูกห้ามเข้ารัฐสมาชิกเชงเก้น บุคคลนั้นอาจถูกพิจารณาว่าเป็นความเสี่ยงต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงของประเทศ หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของรัฐสมาชิกบางรัฐ
      • ขั้นตอนขอวีซ่า อเมริกา
        ขั้นตอนขอวีซ่า อเมริกา
        Apple World Travel - สิงหาคม 10, 2021

        สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในประเทศที่ติดอันดับที่ใครหลายคนอยากไปเที่ยวมากที่สุด แต่การจะไปเที่ยวนั้นด่านแรกที่สำคัญที่สุด ก็คือการ ยื่นขอวีซ่าอเมริกา นั่นเอง ต้องใช้เอกสารค่อนข้างเยอะ ต้องมีการสัมภาษณ์ และมีค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไป ขอเพียงเรามีการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับรองมีชัยไปกว่าครึ่ง เรามาลองดูขั้นตอนกันดีกว่าค่ะ รับรองไม่ยากอย่างที่คิด

        โดยหลักๆ แล้วการเดินทางไปอเมริกาจะมีวีซ่าอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 

        1. วีซ่าชั่วคราว (Non-Immigrant Visa)
        2. วีซ่าถาวร (Immigrant Visa)

         โดยในที่นี้เราจะพูดถึงเฉพาะวีซ่าชั่วคราว ซึ่งสามารถแบ่งออกตามวัตถุประสงค์แยกย่อยได้อีก ดังนี้ 

        ประเภทวีซ่าตัวย่อแต่ละประเภทวัตถุประสงค์
        วีซ่าท่องเที่ยวและเยี่ยมเยียนB-2การท่องเที่ยวภายในประเทศ, เดินทางไปเยี่ยมญาติหรือคนรู้จักที่สนิทสนม, รับการรักษาในด้านสุขภาพ
        วีซ่าธุรกิจB-1เดินทางธุรกิจ ประชุม สัมมนาหรือฝึกอบรมระยะสั้น
        วีซ่าทำงานE, H (H1B, H2, H-2B, H-3), L, O, P, I, Jนักลงทุน ผู้ประกอบกิจการ
        วีซ่าการศึกษาหรือแลกเปลี่ยนF, M, J, B-2นักเรียน นักศึกษา นักเรียนแลกเปลี่ยน

        สำหรับบทความนี้ก็จะเน้นไปที่วีซ่าท่องเที่ยว และเยี่ยมเยียนเป็นหลัก นั่นก็คือ B-2 นั่นเอง หรือถ้าไปเพื่อรักษาพยาบาลก็อยู่ในหมวดนี้เช่นกัน 

        วีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา อยู่ได้กี่เดือน?

        เอกสารที่จำเป็นสำหรับการ ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา

             เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นทำวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาหรือ B-1/B-2 สำหรับคนไทย มีดังต่อไปนี้

        • หนังสือเดินทาง (มีอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป)
        • สเตทเม้นท์ธนาคาร (ย้อนหลัง 6 เดือน)
        • รูปถ่ายวีซ่า (2 ชุด)
        • เอกสารสินทรัพย์ (ถ้ามี)
        • เอกสารทางส่วนบุคคล
        • เอกสารเปลี่ยนชื่อและนามสกุล (ถ้ามี)
        • บัตรประชาชนไทย
        • ทะเบียนบ้าน
        • หลักฐานการทำงานหรือการเป็นเจ้าของธุรกิจ

        แม้จะต้องเตรียมเอกสารไปมากมาย แต่ก็ขึ้นอยู่กับทางสถานทูตว่าจะขอดูเอกสารนั้นๆ หรือไม่ หลักๆ คือทางเจ้าหน้าที่จะทำการประเมินคุณสมบัติของเราจากหลักฐานหลายๆ ด้าน ทั้งนี้มีเอกสารอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ที่ควรเตรียมไปด้วย เช่น

        • หนังสือชี้แจงหรือจดหมายเชิญที่มีการระบุถึงวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปอเมริกา
        • รายละเอียดความตั้งใจของคุณที่จะเดินทางกลับออกมาจากสหรัฐอเมริกาหลังจากการเดินทาง
        • ความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการเดินทาง รวมทั้งค่าใช้จ่ายอย่างอื่น
        • หลักฐานการจ้างงาน และ/หรือความผูกพันในครอบครัวของคุณ ที่จะแสดงให้ทางสถานทูตเห็นว่าคุณมีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่สิ้นสุดการท่องเที่ยวหรือทำธุระแล้ว นอกจากนี้หากตัวคุณเองไม่สามารถแสดงจำนวนเงินที่คุณมีให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับการเดินทางของคุณ คุณอาจแสดงหลักฐานว่าบุคคลอื่น หรือว่าใครจะช่วยคุณออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย (สปอนเซอร์)

        คุณสมบัติที่อาจส่งผลให้ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาไม่ผ่าน

        เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากที่ได้โอกาสเดินทางไปอเมริกา แล้วก็แอบหนีวีซ่า เข้าไปทำงานหรือเข้าไปอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย ทำให้สถานทูต และสถานกงสุลสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยจะมีความเข้มงวดกับการให้วีซ่าในการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อการท่องเที่ยวของคนไทย ซึ่งแม้จะไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข้อมูลว่าการมีคุณสมบัติต่อไปนี้อาจส่งผลให้ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกาไม่ผ่าน เช่น

        • ผู้สมัครทำงานฟรีแลนซ์ และประเภทของงานนั้นไม่มีความมั่นคง
        • ผู้สมัครเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ทำธุรกิจโดยไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง
        • ผู้สมัครทำงานประจำ แต่เพิ่งเริ่มทำงานที่ใหม่ หรือทำงานในตำแหน่งที่ได้รับรายได้ต่ำ (ในมุมมองสถานทูต)
        • ผู้สมัครอ้างอิงคนรู้จักหรือสปอนเซอร์ที่อเมริกา แต่คนๆ นั้นทำงานอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่สถานทูตมองว่าคุณอาจเดินทางเพื่อแอบไปทำงานได้
        • ผู้สมัครมีญาติใกล้ชิดที่หนีวีซ่าอยู่ที่อเมริกา
        • ผู้สมัครเดินทางไปเที่ยวอเมริกาคนเดียว
        • ประวัติการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศของผู้สมัครในพาสปอร์ตไม่มีเลย หรือมีน้อย
        • ผู้สมัครมีแฟนเป็นคนสัญชาติอเมริกัน (กรณีนี้ควรขอวีซ่าถาวร เช่น K1 หรือ CR1 แทน)
        • ผู้สมัครมีแผนการท่องเที่ยว และการเงินที่ไม่สอดคล้องตามความจริงกับระยะเวลาที่จะเดินทางท่องเที่ยว


        ขั้นตอนในการสมัครวีซ่าชั่วคราว

        ขั้นตอนที่ 1 : เข้าไปที่เว็บไซต์ www.ustraveldocs.com/th

        ศึกษารายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีการยื่นคำร้องขอวีซ่าและข้อกำหนดต่างๆ เกี่ยวกับวีซ่าแต่ละประเภท เลือก ประเภทของวีซ่าชั่วคราว ที่หน้าเว็บเพื่อศึกษาข้อมูลของวีซ่าแต่ละประเภท

        ขั้นตอน 2 : กรอกแบบคำร้องขอวีซ่าชั่วคราว (DS-160)

        กรอกแบบคำร้องขอวีซ่าที่ https://ceac.state.gov/genniv และพิมพ์ใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160

        ขั้นตอนที่ 3 : สร้างโปรไฟล์ส่วนตัว

        สร้างโปรไฟล์ส่วนตัวบนเว็บไซต์ www.ustraveldocs.com/th กรอกข้อมูลประวัติส่วนตัวให้ครบถ้วน จากนั้นเลือกประเภทและที่อยู่ในการจัดส่งเล่มหนังสือเดินทางคืน

        ขั้นตอนที่ 4 : ชำระค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องขอวีซ่า/การสมัครวีซ่า

        ชำระค่าธรรมเนียมการยื่นคำร้องขอวีซ่าซึ่งขอคืนเงินไม่ได้ (ในสกุลเงินท้องถิ่น) โดยการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) หรือ ชำระเป็นเงินสดได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา โดยผู้สมัครต้องพิมพ์ใบชำระค่าธรรมเนียม CGI เพื่อนำไปชำระค่าธรรมเนียมที่ธนาคาร

        ขั้นตอนที่ 5 : ทำนัดสัมภาษณ์

        เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ผู้สมัครจะสามารถนัดวันสัมภาษณ์ได้หลัง 12.00 น. ของวันทำการถัดไป (ในกรณีที่ชำระด้วยเงินสด) หรือหลัง 14.00 น. ของอีก 2 วันทำการถัดไป (หากชำระโดยการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์)

        ขั้นตอนที่ 6 : เดินทางมาสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตฯ 

        ผู้สมัครจะต้องนำใบยืนยันแบบฟอร์ม DS-160 ใบยืนยันการนัดหมาย หนังสือเดินทาง (ทั้งเล่มเก่าและปัจจุบัน) รูปถ่ายสี ขนาด2×2 พื้นหลังสีขาวที่ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน และเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย

        ขั้นตอนที่ 7 : การส่งคืนเล่มหนังสือเดินทาง

        หากสัมภาษณ์วีซ่าผ่าน ผู้สมัครจะไม่ได้รับวีซ่าทันทีในวันสัมภาษณ์ โดยผู้สมัครจะได้รับเล่มหนังสือเดินทางพร้อมกับวีซ่าโดยการจัดส่งจากทางไปรษณีย์ไทย เมื่อได้รับหนังสือเดินทางแล้ว กรุณาตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของข้อมูล

             ทางสถานทูตฯ ขอเน้นว่า ผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปประเทศสหรัฐฯ ทุกท่านควรเผื่อเวลาในการยื่นขอวีซ่าล่วงหน้าก่อนการเดินทาง และไม่ควรจองตั๋วเครื่องบินหรือวางแผนการเดินทางใดๆ ที่ยกเลิกไม่ได้ ก่อนที่ท่านจะได้รับหนังสือเดินทางที่มีวีซ่าสหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว

        ขั้นตอนการสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา

        1. มาถึงสถานทูตฯ

          – เวลาที่แสดงบนจดหมายนัดคือเวลาที่ควรมาถึงหน้าสถานทูตฯ มิใช่เวลาที่จะได้รับการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่กงสุล

          – ผู้สมัครควรมาถึงก่อนเวลาที่นัดไว้ 15 นาที (ไม่จำเป็นต้องมาก่อนเวลานานเกินไป)
        2. ตรวจสอบความเรียบร้อย และความปลอดภัย

          – ผู้สมัครจะต้องผ่านการตรวจสอบความเรียบร้อยและความปลอดภัย ได้แก่ นำสัมภาระติดตัวผ่านเครื่องสแกน เดินผ่านเครื่องสแกนวัตถุโลหะ ผู้สมัครควรนำแค่สิ่งของที่จำเป็นติดตัวมาในวันที่สัมภาษณ์

          – ผู้สมัครสามารถนำโทรศัพท์มาได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น โดยจะต้องฝากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไว้ ทางสถานทูตฯ และพนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่รับผิดชอบหากเกิดการสูญหายหรือเกิดความเสียหายใดๆ กับโทรศัพท์มือถือของท่านในขณะที่ฝากไว้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย
        3. นั่งรอเรียกตามเวลานัดสัมภาษณ์ด้านหน้าบูธ

          – ยื่นหนังสือเดินทางให้แก่เจ้าหน้าที่ประจำบูธ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบและคืนหนังสือเดินทางมาพร้อมกับหมายเลขการจัดส่ง (แทร็กกิ้ง) ของไปรษณีย์ไทย
        4. ติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลและเอกสาร

          – หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ประจำบูธแล้ว ให้ผู้สมัครเข้าไปยังห้องรับรองการสัมภาษณ์ จากนั้นไปต่อแถวรอติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อตรวจสอบข้อมูลและเอกสารที่หน้าต่าง 11-15

          – พิมพ์ลายนิ้วมือทั้งสองข้าง (4 นิ้วมือ ข้างซ้ายและขวา และ 2 นิ้วโป้ง)
        5. ยืนยันลายนิ้วมือ

          – ติดต่อที่หน้าต่าง 10 เพื่อยืนยันลายนิ้วมือ

          – หลังจากยืนยันลายนิ้วมือเรียบร้อย ให้ผู้สมัครไปต่อแถวรอสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่กงสุล

        สถานทูตสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่ไหน?

        สถานทูตสหรัฐอเมริกา กรุงเทพมหานคร

        เลขที่ 95 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

        เนื่องจากทางสถานทูตฯ ไม่มีที่จอดรถให้บริการ ผู้สมัครสามารถเดินทางมายังสถานทูตฯ ได้โดยการใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือ รถไฟฟ้าสถานีที่อยู่ใกล้สถานทูตฯ

        • สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต (ใช้ทางออกที่ 5 จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที)


        สถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา เชียงใหม่

             387 ถนนวิชยานนท์ ตำบล ช้างม่อย อำเภอ เมือง เชียงใหม่ 50300

        • อยู่ตรงข้ามเทศบาลเชียงใหม่ ใกล้เจดีย์ขาว ติดริมแม่น้ำปิง

        ข้อมูล :

      • 12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก
        12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก
        Apple World Travel - พฤษภาคม 18, 2021

        ลองนึกภาพถ้าเราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านที่สวยงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ วิวทิวทัศน์ที่แสนวิเศษ แถมบ้านเรือนก็น่ารักราวกับภาพเขียนในนิยาย คงจะฟินน่าดูเลยใช่ไหมคะ แต่ ความคิดนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ในจินตนาการเท่านั้นค่า วันนี้จะพาไปรู้จักกับ 12 สุดยอดหมู่บ้านสวยโรแมนติกจากทั่วโลก รับรองว่าดีงามจนอยากจะเก็บกระเป๋าตามไปดูให้เห็นกับตาตอนนี้เลยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านมรดกโลก Shirakawago

        หมู่บ้านสุดน่ารักราวกับในนิทานนี้มีชื่อว่า ชิราคาวะโกะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ กลางหุบเขา อยู่ที่จังหวัดกิฟุค่า และยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1995 อีกด้วย วินาทีแรกที่ได้สัมผัสที่นี่ต้องกรี๊ดดดดออกมาเลยค่ะ เพราะหนาวมาก เอ้ยไม่ใช่ เพราะสวยมากต่างหากก ภาพของบ้านทุกหลัง รวมถึงถนนเส้นเล็กๆ ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนสวยงาม โอบล้อมไว้ด้วยภูเขาและป่าสน เหมือนหลุดเข้าไปในโลกนิยายเลยค่ะ หมู่บ้านนี้สร้างมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วค่ะ แต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมและรักษาสภาพของหมู่บ้านไว้เป็นอย่างดี มีบ้านทั้งหมดไม่ถึง 200 หลัง ตัวบ้านเป็นสถาปัตยกรรมแบบกัสโซ (Gassho) แปลว่าพนมมือ จุดเด่นอยู่ที่หลังคาลาดชันทำมุมกัน 60 องศา รูปทรงเหมือนกับคนพนมมือขอพรอยู่จริงๆ ค่ะ โดยทำจากหญ้าฟางและไม่ใช่ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่ใช้ไม้ขัดกันและใช้เชือกมัดให้แน่นแทน ภายในหมู่บ้านมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และบ้านพักแบบโฮมเสตย์ด้วยนะคะ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนหลายแสนคนต่อปีเลยทีเดียว ถ้าจะมาพักต้องจองกันยาวหน่อยนะจ๊า และอย่าลืมขึ้นไปจุดชมวิวบนเนินเขาซึ่งจะเห็นวิวของหมู่บ้านได้แบบเต็มๆ จุดนี้จะเป็นมุมที่สวยที่สุด ห้ามพลาดเลย ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ทุกฤดู ไม่ว่าช่วงไหนก็สวย โดยเฉพาะฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่งดงาม โรแมนติกและชวนฝันฝุดๆ ไฮไลท์เด็ดคือระหว่างเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ ในช่วงสุดสัปดาห์ จะมีงานแสดงไฟ Shirakawago Light Up บ้านหลังทุกหลังจะส่องประกายท่ามกลางแสงไฟในฤดูหนาวพร้อมหิมะที่โปรยปราย สวยงามมากกกก ต้องมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งจริงๆ ค่า

        เที่ยวหมู่บ้านดอกไม้อีวัวร์ (Yvoire), ฝรั่งเศส

        อีวัวร์หมู่บ้านดอกไม้อันเก่าแก่ ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่สวยที่สุดเมืองหนึ่งในประเทศฝรั่งเศสค่า สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง อายุกว่า 700 ปี แต่ยังคงรักษาสภาพสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงประตูเมืองและกำแพงอันเก่าแก่ไว้ได้อย่างดีเลยค่ะ ส่วนมากทำมาจากหินและไม้ โดยตลอดสองข้างทางถนนที่เราเดินจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใสประดับตามอาคารบ้านเรือน เห็นแล้วสดชื่นที่ซู้ดดด จนได้ชื่อว่าหมู่บ้านดอกไม้นั่นเองค่า ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส ถึงจะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก แต่ขอบอกว่าสวยมากก บรรยากาศเงียบสงบ อากาศดี อยู่ติดทะเลสาบเจนีวาสีฟ้าใส มีทั้งปราสาท โบสถ์ประจำเมือง ป้อมปราการและสวนดอกไม้ นอกจากนี้ยังมีร้านขายของให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของเล่นไม้ เครื่องปั้นดินเผา สบู่ เทียนหอม และโปสการ์ด โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันก็เดินทั่วแล้วค่ะ อ้อ แนะนำให้ลองทานพิซซ่าของที่นี่ดูนะคะ เห็นเขาว่ากันว่าเด็ด! เป็นพิซซ่าสไตล์ฝรั่งเศส แป้งบางกรอบ มีหน้าแปลกๆ ที่เราไม่เคยทานที่ไหนมาก่อน รวมถึงร้านเครปซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของชาวฝรั่งเศสด้วยค่ะ สายกินอย่างเรา แค่นึกก็น้ำลายไหลแว้ววว

        เที่ยวกอลมาร์ หมู่บ้านเทพนิยาย (Colmar), ฝรั่งเศส

        ที่นี่เป็นอีกหมู่บ้านของฝรั่งเศสที่น่ารักและสวยงามไม่แพ้กับหมู่บ้านอีวัวร์ (Yvoire) เลยค่า ตั้งอยู่ในแคว้นอาลซัส (Alsace) ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศเยอรมัน จึงได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ ด้วยตัวอาคารบ้านเรือนเป็นแบบ Timber Frame ซึ่งเป็นบ้านสไตล์เยอรมันแท้ๆ และยังคงรักษาความสวยงามแบบดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ จุดเด่นอยู่ตรงที่มีคลองไหลผ่านทั่วเมือง จนได้รับการขนานนามว่า ลิตเติ้ลเวนิสแห่งฝรั่งเศส เป็นเมืองเล็กๆ บรรยากาศสวยงาม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่นจำนวนมาก จึงเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของฝรั่งเศสอีกด้วยค่ะ เราสามารถนั่งเรือชมอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายอยู่ริมสองฝั่งคลอง ตามระเบียงจะประดับด้วยดอกไม้หลากสีสัน สีผนังบ้านก็แจ่มแบบไม่มีใครยอมใคร หรือจะเดินเล่นตามซอยต่างๆ ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ซึ่งแต่ละร้านจะออกแบบป้ายได้น่ารักเก๋ไก๋แตกต่างกันไป เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่น่ารักทุกองศาจริงๆ ค่ะ และยังเป็นสถานที่ที่คู่รักจะมาแต่งงาน ฮันนีมูน และให้คำสัญญาในความรักระหว่างกัน รับรองว่าถ้าใครมีโอกาสได้มาเยือนกอลมาร์ จะต้องตกหลุมรักเมืองเล็กๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโรแมนติกนี้อย่างแน่นอนน

        เที่ยวกีธูร์นหมู่บ้านไร้ถนน (Giethoorn)

        กีธูร์น เป็นหมู่บ้านแห่งสายน้ำอันแสนเงียบสงบ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองซโวลเลอ (Zwolle) และสตีนวิก (Steenwijk) ประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ ที่นี่ไม่มีถนน ไม่มีเสียงรถ และใช้เรือในการสัญจรไปมา เรียกได้ว่ามีกันทุกบ้านเลยค่า เพราะมีคลองเล็กๆ ลัดเลาะอยู่รอบหมู่บ้าน บรรยากาศดี ไม่มีมลพิษ เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้บานสะพรั่ง บ้านเรือนก็น่าร้ากก ถูกออกแบบและตกแต่งให้เป็นกระท่อมสไตล์ยุโรปตะวันตกที่แสนน่ารักอบอุ่น มีสะพานไม้เล็กๆ ทรงสวยกว่า 180 สะพาน ไว้เชื่อมระหว่างบ้านเรือนเข้าหากัน มีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงผลงานโบราณวัตถุมากมาย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาไม่ต่ำกว่า 100 ปี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และยังมีร้านขายของที่ระลึก อาหารพื้นเมืองอร่อยๆ ร้านกาแฟสุดชิคที่เสิร์ฟกาแฟหอมๆ จิบไปชมวิวไป ได้ใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ในวันพักผ่อนกับคนรัก เป็นการเติมพลังได้ดีทีเดียวค่า

        เที่ยวหมู่บ้านซาลิพาย (Zalipie), โปแลนด์

        ใครที่ชื่นชอบในงานศิลปะไม่ควรพลาดเลยจ้าา กับซาลิพาย หมู่บ้านแห่งศิลปะที่สวยที่สุดในโปแลนด์! ที่นี่เป็นหมู่บ้านโบราณเล็กๆ ตั้งอยู่ในจังหวัดเลสเซอร์โปแลนด์ (Lesser Poland) ความโดดเด่นอยู่ตรงที่บ้านทุกหลังจะถูกตกแต่งด้วยภาพวาดลายดอกไม้สีสันสวยงาม หรือที่เรียกกันว่า Folk art ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้าน ตามแบบฉบับของชาวโปแลนด์ที่มีมาตั้งแต่โบราณค่ะ โดยก่อนที่จะเป็นภาพวาดตามบ้านแบบนี้ เกิดขึ้นจากในสมัยก่อนใช้เตาถ่านในการทำครัว ทำให้เกิดคราบเขม่าเกาะอยู่ตามฝาผนังและเพดานบ้าน จึงวาดภาพและทาสีปิดรอยเขม่าซะเลยจ้า ไอเดียเก๋กู้ดสุดๆ แถมยังดูสดใสมีชีวิตชีวามากขึ้น และยังเป็นการใช้ศิลปะบำบัดและช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กับชาวโปแลนด์หลังจากเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วยค่ะ ปัจจุบันไม่ได้วาดแค่ตัวบ้านเท่านั้นนะคะ แต่โบสถ์ สะพาน ถังขยะ บ่อน้ำ หรือบ้านสุนัขก็วาดจ้า สวยละลานตาไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้เลยย~ >,< และในปี ค.ศ.1948 ได้มีการจัดการแข่งขันวาดภาพบนฝาผนัง ที่เรียกกันว่า Malowana Chata เพื่อหาว่าใครจะสามารถวาดภาพและลงสีลวดลายได้สวยที่สุด จนกลายเป็นงานประจำปีของหมู่บ้านแห่งนี้มาถึงปัจจุบัน และ กลายเป็นหมู่บ้านศิลปะที่ดึงดูดใจเหล่านักท่องเที่ยวให้มาเที่ยว ถ่ายรูปกันอย่างไม่ขาดสายเลยค่า

        เที่ยวฮัวคาชิน่า หมู่บ้านกลางทะเลทราย (Huacachina) เปรู

        ฮั่นแน่ สงสัยกันใช่ไหมคะว่า กลางทะเลทรายอันแห้งแล้งจะมีหมู่บ้านอยู่ได้ยังไง จะบอกว่ามีจริงๆ ค่าา ที่นี่คือฮัวคาชิน่า เมืองโอเอซิสกลางทะเลทราย อยู่ในภูมิภาคไอคา (Ica) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเปรูค่ะ ถูกสร้างขึ้นรอบทะเลสาบธรรมชาติชื่อ Oasis of America โดยคนท้องถิ่นเชื่อกันว่า ถ้าได้ลงไปแช่และอาบน้ำในบ่อนี้จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีคุณสมบัติในการบำบัดโรคได้เป็นอย่างดี และยังช่วยให้ชีวิตเจริญก้าวหน้าอีกด้วยค่ะ ปัจจุบันหมู่บ้านฮัวคาชิน่าเป็นเหมือนสวรรค์กลางทะเลทรายของนักท่องเที่ยวและเหล่าเศรษฐีทั้งหลายที่นิยมมาพักผ่อนกัน กิจกรรมยอดนิยมก็คือ สกีทราย (Sandboarding) เป็นการสไลด์บอร์ดลงเนินทรายด้วยความสูงหลายร้อยฟุต, Buggying ขับรถบนเนินทราย ซึ่งรับรองว่าเสียวไปยันไส้แน่นอนจ้า รวมไปถึงล่องเรือชิลๆ ในทะเลสาบ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร และบาร์ต่างๆ ไว้ให้บริการ แนะนำให้มาช่วงฤดูหนาวนะคะ คือเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม จะเป็นช่วงฤดูการท่องเที่ยวหรือ High Season ในตอนกลางคืนจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟท่ามกลางความหนาว สวยงามโรแมนติกมากกก จนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติโดยสถาบันวัฒนธรรมแห่งชาติด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen), สวิตเซอร์แลนด์

        เลาเทอร์บรุนเนิน หมู่บ้านในเทพนิยาย อยู่ในรัฐเบิร์น (Bern) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ค่า เป็นเมืองเล็กๆ ในเขตหุบเขาจุงเฟรา (Jungfrau) ใช้เป็นทางผ่านไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในแถบเทือกเขาแอลป์ และยังเป็นหนึ่งในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วยค่ะ ที่นี่มีทัศนียภาพงดงามมากกก ใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ เป็นวิวภูเขาสลับกับทุ่งหญ้าอัลไพน์ หลังบ้านชนภูเขา เด็ดสุดคือมีน้ำตกอยู่กลางหมู่บ้านกันเลยค่า โดยชื่อ Lauterbrunnen นี้แปลว่า Many fountains แค่ชื่อก็บอกแล้วว่ามีน้ำตกเยอะมากจริงๆ เพราะมีถึง 72 แห่งด้วยกัน และมีน้ำตกที่สูงที่สุดในยุโรปอยู่ด้วย คือน้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach Falls) ที่พุ่งดิ่งลงมาจากหน้าผาเกือบ 300 เมตร! แบบม้วนเดียวจบ เป็นภาพที่งดงามมากๆ จนได้ถูกพิมพ์ลงในแสตมป์ของสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงทศวรรษที่ 1930 อีกด้วยค่า

          เที่ยวหมู่บ้านอัลพ์บัช (Alpbach)

        หมู่บ้านสวยๆ ไม่ได้มีอยู่แค่ในโปสการ์ดนะจ๊าาา แต่อยู่ที่หมู่บ้านอัลพ์บัช ณ รัฐทิโรล (Tirol) ตั้งอยู่บนที่ราบสูง เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดในออสเตรีย และเป็นหมู่บ้านแห่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในยุโรปอีกด้วยค่า เมื่อมาถึงจะต้องตื่นตาตื่นใจไปกับความงามของธรรมชาติ บ้านเรือนน่ารักๆ ท่ามกลางหุบเขา ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มไกลสุดลูกหูลูกตา และดอกไม้สีสันสดใสมากมาย อากาศก็ดี๊ดี อยากจะเก็บใส่ถุงกลับมาสูดต่อที่บ้านจังเลยย การได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติขนาดนี้มันรู้สึกสดชื่นสุดๆ เลยค่า >3< เหมาะแก่การมาเที่ยวเล่นพักผ่อนในวันหยุด มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งปั่นจักรยาน เดินป่า เดินเขา จิบไวน์ ชมวิวหรือจะมาฮันนีมูนก็โรแมนติกฟินๆ ไม่น้อย อิอิ หรือถ้ามาในช่วงฤดูหนาว ในหมู่บ้านยังมีวินเทอร์ วิลเลจ (Winter Village) ไว้สำหรับเล่นสกีและกิจกรรมฤดูหนาวอื่นอีกด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านชนบทคอทส์โวลส์ (The Cotswolds), อังกฤษ

        คอทส์โวลส์ เมืองวินเทจสุดน่ารักตะมุตะมิ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของทัศนียภาพ และบรรยากาศอบอุ่นสบายๆ หันไปก็เจอเนินเขา ทุ่งหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ แม่น้ำสายเล็กๆ และสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่นี่อย่าง หมู่บ้านหินสีน้ำผึ้ง ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 และยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ได้ดีเยี่ยม รวมถึงอาคารบ้านเรือนต่างๆ ร้านขายของวินเทจทั้งหลาย ร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์ชนบท และผู้คนที่ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย ให้ความรู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในยุคเก่าของอังกฤษเมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยค่า

        เที่ยวชิงเคว เทเร หมู่บ้านริมผาทั้ง 5 (Cinque Terre), อิตาลี

        หมู่บ้านริมผาทั้ง 5 เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงเหนือทะเล ในแคว้นลิกูเรีย (Liguria) ก่อตั้งมานานกว่า 1,300 ปี มีความอุดมสมบูรณ์มากไม่ว่าจะเป็น ทะเล หาดทราย ภูเขา เนื่องจากเป็นเขตที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก้อีกด้วยค่า Cinque Terre แปลว่า 5 แผ่นดินหรือแผ่นดินทั้ง 5 โดยประกอบด้วยเมืองยิบย่อย 5 เมือง ได้แก่ เมืองมอนเตเรสโซ อัล มาเร (Monterosso al Mare), เมืองเวอร์นัสซา (Vernazza) , เมืองคอร์นิเลีย (Corniglia), เมืองมานาโรลา (Manarola) และเมืองริโอมัจจอร์เร (Riomaggiore) ซึ่งกว่าจะสร้างทั้งหมดนี้ขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะคะ ผู้คนพยายามสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากเป็นเวลาหลายร้อยปี เพราะต้องคอยระวังหน้าผาที่ทั้งขรุขระและสูงชัน แต่ในปัจจุบันสามารถเดินทางได้ง่ายและสะดวกมากค่ะ โดยมีทางเดินเท้า ทางรถไฟและเรือที่เชื่อมกันไปมาระหว่างหมู่บ้าน เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือ ตึกรามบ้านช่องสีสันสดใสอยู่บนหน้าผาริมทะเล เป็นภาพที่สวยงามมากกก มีร้านค้า ร้านอาหารให้นั่งชมวิวริมทะเลเพลินๆ รวมถึงไร่องุ่น โรงผลิตไวน์ และหมู่บ้านทำขนมปัง ส่วนใครที่ชอบถ่ายรูปก็ไม่มีผิดหวังจ้า มีมุมสวยๆ และวิวแจ่มๆ ให้ได้ภาพกลับไปเพียบแน่นอนน

        เที่ยวกอร์ด หมู่บ้านสวยในเขตโพรวองซ์ (Gordes), ฝรั่งเศส

        เมืองกอร์ด (Gordes) ตั้งอยู่บนยอดเขาในแถบเทือกเขาลูเบอรอง (Luberon) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโพรวองซ์ค่า โดยมีพื้นที่ประมาณ 600 ตารางกิโลเมตร มีเมืองเล็กเมืองน้อยตั้งอยู่บนหน้าผาและสร้างลดหลั่นเรียงตัวกันตามแนวเขา บ้านเรือนมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม เป็นสไตล์หินๆ แปลกตาดีค่ะ เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวของทุ่งหญ้าเขียวๆ ทุ่งลาเวนเดอร์ และพื้นที่ทางเกษตรกรรมกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ในตัวเมืองมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกันมากมาย ร้านขายยาก็มีนะคะ นอกจากได้เดินชมอาคารบ้านเรือนแล้ว ยังมีปราสาทหินโบราณ (château de Gordes) ซึ่งสร้างขึ้นในแบบสไตล์เรเนสซองให้ได้ชมความอลังการกันอีกด้วยค่ะ

        เที่ยวหมู่บ้านเอซ (Eze Village), ฝรั่งเศส

        หมู่บ้านเอซ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อันเก่าแก่ ตั้งอยู่บนภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 429 เมตร ริมชายฝั่งริเวียร่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ของฝรั่งเศสค่ะ แต่เดิมเมื่อราว 2 พันปีก่อน เป็นที่พักของเหล่าคนป่า ต่อมาได้ถูกครอบครองโดยชาวโรมันและได้สร้างป้อมปราการอยู่บนภูเขาเพื่อให้มองเห็นข้าศึกได้แต่ไกลนั่นเองค่ะ เนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่บนยอดเขา และรถไม่สามารถขึ้นไปได้ พวกเราสายสตรองก็ต้องเดินขึ้นไปค่าา ถึงจะมีหยุดพักหายใจเป็นระยะๆ แต่ขอเลยว่าคุ้มค่ามาก! เสน่ห์ของที่นี่คือ มีบรรยากาศและบ้านเรือนที่น่ารักสวยงาม แม้จะมีการปรับปรุงซ่อมแซมใหม่แต่ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ในอดีตไว้อยู่ ตัวตึกส่วนใหญ่เป็นหินฉาบแบบหยาบๆทาสีขาว สีเหลืองหรือชมพูอ่อนๆ พาสเทลฝุดๆ มีมุมน่ารักเก๋ไก๋อยู่ทั่วทั้งเมือง จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดของฝรั่งเศสด้วยค่า ตามทางเดินถึงจะแคบแต่ก็มีความเป็นระเบียบ ไม่มีสายไฟรกรุงรังเลยค่ะ สามารถเดินเล่นถ่ายรูปได้ตลอดทาง โดยลักษณะพื้นเป็นหินก้อนๆ และกระเบื้องสีแดง เค้าบอกว่าตรงกระเบื้องสีแดงเนี่ย ไม่ได้แค่เพื่อความสวยงามนะคะ แต่กันลื่นได้ด้วย นอกจากบ้านเรือนแล้ว ทั้งสองข้างทางก็ยังเต็มไปด้วยร้านค้า มีของให้เลือกซื้อมากมาย มีสวน Le Jardin Exotique ที่รวบรวมพืชจำพวกกระบองเพชรแบบต่างๆ ไว้ แต่ต้องซื้อตั๋วเข้าชมนะคะ และถ้าใครต้องการชมวิวจากมุมสูง ก็สามารถเดินลัดเลาะไปชมวิวยังบริเวณโบสถ์ของเมืองได้ค่า ได้วิวจากยอดเขาเลย เรียกได้ว่ายิ่งเดินก็ยิ่งเห็นเสน่ห์ของหมู่บ้านแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ธรรมชาติอยู่คู่กับบ้านเมืองได้อย่างลงตัว อากาศก็ดีตลอดปี สดชื่นนนมาก ดีงามมมมเว่อร์จ้า

        ขอบพระคุณสำหรับข้อมูลและภาพประกอบ

        เครดิต: https://www.yingpook.com/blogs/world/top-12-most-beautiful-villages-of-the-world

      • 11 สถานที่ท่องเที่ยวสายธรรมชาติ จังหวัดพิษณุโลก ที่สุดว้าว สุดปัง
        11 สถานที่ท่องเที่ยวสายธรรมชาติ จังหวัดพิษณุโลก ที่สุดว้าว สุดปัง
        Apple World Travel - พฤษภาคม 14, 2021

        พิษณุโลก จังหวัดเมืองรองน่าเที่ยวที่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยและได้ยินชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน แท้จริงแล้วจังหวัดนี้มากมายทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตที่สวยงาม รวมถึงธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์ที่ไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ วันนี้ก็ถึงตาเราที่จะมารวบรวมและแนะนำกับ 11 จุดเช็คอินที่เที่ยวพิษณุโลก จัดมาแบบครบทุกอารมณ์ ทั้งสายชิค สายชิล ที่บอกเลยว่าไม่ควรพลาด เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าแล้วตามไปเที่ยวกันเลย

        1. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง

        อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เป็นที่ตั้งของ “ทุ่งหญ้าสะวันนาเมืองไทย” ที่เราเคยเรียนในวิชาภูมิศาสตร์ และด้วยอาณาเขตกว้างใหญ่กว่า 16 ตารางกิโลเมตร ทำให้สถานที่แห่งนี้สวยงามและเป็นที่เที่ยวธรรมชาติพิษณุโลกที่อุดมสมบรูณ์ที่สุด ให้บรรยากาศไม่แพ้ทุ่งหญ้าในทวีปยุโรปเลยทีเดียว ดังนั้นกิจกรรมสำคัญที่เราอยากแนะนำให้คุณมาทำ ณ ทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็คือการเดินชมวิว 2 ข้างทาง หรือจะเลือกปั่นจักรยานชมธรรมชาติก็ได้ และแน่นอนว่ากิจกรรมเหมาะกับช่วงฤดูหนาวอย่างมาก

        2. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า

        หนึ่งพื้นที่สีเขียวบรรยากาศดี ที่ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ เลย เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก มีพื้นที่กว่า 191,875 ไร่ ลานหินแตกและลานหินปุ่ม เป็นสถานที่หนึ่งเดียวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์เป็นพิเศษบนอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีผาชูธงเป็นจุดชมวิว และมีน้ำตกให้เยี่ยมชมอีกหลายแห่ง ในบรรยากาศอุณหภูมิต่ำสุดเพียงเลขตัวเดียวในหน้าหนาว หากใครชื่นชอบกางเต็นท์ท้าทายความหนาวเย็น หรือสายแบ็คแพ็คต้องห้ามพลาดแวะมานอนสถานที่แห่งนี้ โดยอย่าลืมเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับนอนเต็นท์ จัดกระเป๋าเดินทางมาให้เรียบร้อยละ อย่างแบรนด์ the north face แบรนด์ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันในแวดวงนักปีนเขา นักเดินป่า และคนที่ชื่นชอบกิจกรรมขาลุยต้องมี!

        3.บ้านมุง เนินมะปราง

        เป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดพิษณุโลกที่สวยไม่แพ้ เมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนเลยล่ะ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ มีลักษณะ เหมือนกุ้ยหลิน ซึ่งจุดถ่ายรูปสวยๆ นี้จะตั้งอยู่ในบ้านมุง  ซึ่งเป็นชุมชนขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของขุนเขาและทุ่งนาสีเขียวขจี  กิจกรรมแนะนำคือการมานั่งรถอีแต๊ก ชมวิวทิวทัศน์ของบ้านมุง และเที่ยวถ้ำมากมาย ซึ่งในตอนเย็นเราจะเห็นฝูงค้างคาวที่บินกลับถ้ำอีกด้วย

        4. บ้านชมวิวรีสอร์ท

        และหากขับต่อจากบ้านมุงขึ้นไปอีกประมาณ 40 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวจะได้พบกับบ้านชมวิวรีสอร์ท จุดชมวิวสำคัญของเมืองพิษณุโลกที่สามารถมองเห็นอาณาเขตทั้ง 5 จังหวัด คือพิษณุโลก เพชรบรูณ์ พิจิตร อุตรดิตถ์และนครสวรรค์ นอกจากนี้ท่านยังจะได้นั่งแกว่งชิงช้าใต้ต้นไม้รูปหัวใจขนาดใหญ่ พร้อมชมวิวสวย ๆ แบบเต็ม ๆ ตา กลายเป็นจุดเช็คอินสำคัญที่สายโซเชียลไม่ควรพลาด

        5.ลำน้ำเข็ก

        ถ้าคุณอยากสัมผัสความแอดเวนเจอร์  ที่นี่เป็นสถานที่ล่องแก่งที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งในเมืองไทย โดยในฤดูฝนน้ำในลำน้ำเข็กจะขยับสูงขึ้นและมีการไหลคดเคี้ยวเกิดเป็นเกาะแก่ง ไล่ระดับความตื่นเต้น นักท่องเที่ยวจะได้ร่วมสนุกกับการล่องแก่งสุดมันส์ตลอดระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว  ซึ่งช่วงเวลาในการล่องแก่งลำน้ำเข็กคือช่วงฤดูฝน เดือนมิถุนายน – เดือนตุลาคม โดยใช้ระยะทางในการล่องแก่งประมาณ 8 กิโลเมตร

        6.น้ำตกหมันแดง

        อีกหนึ่งความงามของภูหินร่องกล้า ในช่วงฤดูฝนราวๆ เดือนสิงหาคม เราจะพบกล้วยไม้ลิ้นมังกรสีชมพู และบิโกเนียสีขาว ขึ้นอยู่บริเวณน้ำตกชั้นที่ 5 ทั้งนี้ทั้งนั้น การเข้าถึงน้ำตกหมันแดง ถือว่าสมบุกสมบันมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นทางที่ค่อนข้างลื่น บวกกับดงทากนับพันสุด เป็นอะไรที่ท้าทายมาก ๆ ต้องเตรียมตัววางแผนไปให้พร้อม เพราะรางวัลรอคุณอยู่ที่ปลายทาง เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คุณจะลืมความเหนื่อยจนหมดสิ้น จะมีแต่ความประทับใจไม่รู้ลืม

        7.น้ำตกแก่งโสภา

        ไนแองการ่าเมืองไทย เหมือนไปทวีปอเมริกาเหนือ ที่น้ำตกแก่งโสภา เดิมทีชื่อ น้ำตกแก่งชั้นไดยาน หรือ บันไดยาน จัดเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีความสูงราว 40 เมตร ด้านบนมีลักษณะเป็นแผ่นหินขนาดใหญ่วางขวางอยู่กลางทางน้ำ ด้านล่างมีโขดหินขนาดย่อมกระจายตัวอยู่ทั่วไป  ในช่วงฤดูน้ำหลากนั้น สายน้ำตกแห่งนี้ค่อนข้างไหลเชี่ยวกรากจนไม่สามารถลงเล่นน้ำได้ ส่วนในช่วงฤดูแล้งที่มีน้ำน้อย จะมองเห็นน้ำตกหลั่งไหลตามชั้นหินต่างๆ 3 ชั้น อย่างชัดเจน ให้เราได้สัมผัสความสดชื่นกันเต็มที่

        8.น้ำตกชาติตระการ

        น้ำตกชาติตระการ มีชื่อเรียกตามชาวบ้านว่า น้ำตกปากรอง มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามต่างกันออกไป ซึ่งตั้งชื่อตามนามธิดาท้าวสามลในวรรณคดีไทยเรื่องสังข์ทอง โดยเฉพาะชั้นที่3 และ4 น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ10 เมตร แผ่เป็นฝอยกระจายไปทั่ว ชั้นแอ่งใหญ่ที่สุด คือชั้น 1 นักท่องเที่ยวนิยมลงเล่นน้ำที่ชั้นนี้

        9.สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า

        พิษณุโลก ในพระราชดำริ เราสามารถมองเห็นดาวเต็มฟ้ายามค่ำคืน ตื่นเช้ามาพบสายหมอกลอยละล่องท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี และพบกับจุดชมทิวทัศน์มุมกว้างที่งดงามแห่งหนึ่งของจังหวัดพิษณุโลก  ถูกจัดตั้งเป็นแหล่งรวบรวมพรรณไม้นานาชนิดที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งกล้วยไม้ และไม้ดอกที่มีกลิ่นหอม เป็นศูนย์อนุรักษ์และขยายพันธุ์พืช โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนตุลาคมเป็นต้นไป จะมีต้นกุหลาบพันปีที่หาชมได้ยาก และต้นค้ออายุร้อยปี ที่มองเห็นได้จากจุดชมวิวค้อเดียวดาย มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้เคียงได้อย่าง น้ำตกชาติตระการ น้ำตกภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และอุทยานแห่งชาติภูสวนทราย

        10.แก่งไฮ

        มาคลายร้อนต่อกันต่อกับจุดเช็คอินเย็นๆ ทะเลของพิษณุโลก แก่งไฮ ที่นี่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยป่าสีเขียว เนื้อที่หลายร้อยไร่ บรรยากาศดีเย็นสบายไม่แพ้ที่ไหน ภายในมากมายด้วยแพไม้ไผ่ให้นั่งชิลล์ สั่งอาหารมากิน มีทั้งอาหารไทย อาหารอีสานรสแซ่บ  ซึ่งความพิเศษของที่นี่คือ จะมีบริการพาล่องไปกลางน้ำ ให้เล่นพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัว บอกเลยว่าถูกใจคนทั้งครอบครัวอย่างแน่นอน

        11.สวนบัวอมรรัตน์

        มาอันซีนกันต่อแบบว้าวๆ กับที่เที่ยวผ่อยคลายสไตล์กรีนๆ สวนบัวอมรรัตน์ ที่นี่เป็นสวนบัวขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไวด้วยธรรมชาติสีเขียวในทุกทิศทาง มีบัวสีสวยงามหลากหลายสายพันธุ์ ให้ชมศึกษา และสามารถซื้อกลับไปปลูกที่บ้านได้ ซึ่งความพิเศษของที่นี่ที่เป็นจุดขายนั่นก็คือ บัวกระด้ง หรือบัว วิกตอเรีย ที่บานใหญ่กว่า 1-2 เมตร และมีให้ชมกันถึงสองบ่อ แถมยังสามารถลงไปยืนโพสต์รูปแบบอลังการ รองรับน้ำหนักได้ถึงร้อยกิโลกรัม ที่สำคัญยังสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เรียกว่าได้ทั้งความสุข ความรู้ กลับไป

         เป็นยังไงกันบ้างสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสุดปังแห่งพิษณุโลกที่นำมาฝากกัน ธรรมชาติดีๆสวยๆแบบนี้สามารถฮีลเราในวันที่แย่ๆได้นะ หาเวลาพักผ่อนและออกไปเดินทางกันบ้างก็ดีไม่น้อย แต่ถ้าจะให้ปังกว่านั้นอย่าลืมถ่ายรูปสวยๆพร้อมลงแคปชั่นเที่ยว เปรี้ยวๆเก๋ ให้เพื่อนๆอิจฉาไปเลย

        อ้างอิง https://www.chillpainai.com/scoop/10070/
        https://travel.mthai.com/region/186076.html
        https://www.tripgether.com/อัปเดตเรื่องเที่ยว/10-จุดเช็คอินน่าเที่ยวพิษณุโลก-มีครบทุกอารมณ์-อีกหนึ่งจังหวัดเมืองรองที่ไม่ควรพลาด/http://unseentourthailand.com/2021/03/16/11phitsanulok/

        เครดิตภาพ
        ปก https://unsplash.com/photos/F8FiXqkODN4

        อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
        https://www.khaokho.com/17229691/ทุ่งแสลงหลวง

        อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
        https://travel.mthai.com/region/208568.html

        บ้านมุง https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/81252

        บ้านชมวิวรีสอร์ท
        https://www.tripgether.com/อัปเดตเรื่องเที่ยว/5-ที่พักเนินมะปราง-พิษณุโลก-จุดเช็คอินฟินทะเลหมอกหน้าฝน/

        ลำน้ำเข็ก
        https://mgronline.com/travel/detail/9620000059909

        น้ำตกหมันแดง
        https://www.thairath.co.th/news/local/north/1044777

        น้ำตกแก่งโสภา
        https://thai.tourismthailand.org/Attraction/น้ำตกแก่งโสภา

        น้ำตกชาติตระการ https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/3622

        สวนพฤกษศาสตร์บ้านร่มเกล้า https://mgronline.com/travel/detail/9570000091289

        แก่งไฮ
        https://www.thetrippacker.com/th/review/นครไทยวัดโบถส์พิษณุโลก/11151

        สวนบัวอมรรัตน์
        https://th.readme.me/p/21419

      • 10 ที่เที่ยวแคนาดา สวยติดอันดับต้น ๆ ของโลก
        10 ที่เที่ยวแคนาดา สวยติดอันดับต้น ๆ ของโลก
        Apple World Travel - พฤษภาคม 13, 2021

        ประเทศแคนาดา เป็นประเทศอันกว้างใหญ่นี้มีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายแบบ ซึ่งที่เที่ยวของแคนาดาแต่ละที่ก็ล้วนแต่ติดอันดับต้น ๆ ที่เที่ยวที่สวยที่สุดในโลกทั้งนั้น หากใครกำลังมองหาที่เที่ยวต่างประเทศที่คุ้มค่าต่อการไปเยือนอยู่ บอกเลยว่าการไปเที่ยวแคนาดาสักครั้งจะทำให้คุณได้ทั้งความประทับใจและนอนตายตาหลับ วันนี้เราจึงได้รวบรวม 10 ที่เที่ยวแคนาดามาฝากกันค่ะ จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปดูกัน

        1.เทือกเขาร็อกกี้ (Rocky Mountains)

        Rocky Mountains เป็นเทือกเขาที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่มากที่สุดในประเทศแคนาดา ช่วงฤดูร้อนของประเทศแคนาดา กิจกรรมการท่องเที่ยวในแถบเทือกเขาสูงจะมีความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่เป็นมรดกโลกอย่างเทือกเขาร็อกกี้ จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) และอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) ซึ่งมีเส้นทางขับรถชมยอดเขาที่สวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะบนเส้นทาง Icefields Parkway และ Trans-Canada Highway ช่วงเมือง Jasper

        2. อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park)

        อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ เป็นอุทยานที่เก่าแก่ที่สุดของแคนาดา ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1885 อยู่ในเขตเทือกเขา Rocky Mountain ภายในอุทยานมีธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ อุทยานมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีน้ำพุร้อน มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และสัตว์ต่างๆ เช่น อินทรีย์สีทอง หมีกริซซ์ลี และ หมีดำ กวางมูส แพะภูเขา ทะเลสาบก็ไม่น้อยหน้า มีความงดงามติดอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว จึงทำให้อุทยานแห่งชาติแบมฟ์มีสมญานามว่า “อัญมณีแห่งเทือกเขาร็อกกี้”

        3. Lake Louise

        Lake Louise ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) รัฐแอลเบอร์ตา (Alberta) มีลักษณะเป็นทะเลสาบสีฟ้าเขียวมรกตสวยใส รายล้อมไปด้วยเทือกเขาสีเขียวสูงใหญ่ ที่เราจะสามารถมองเห็นหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาประปราย เป็นทัศนียภาพที่งดงามมาก ๆ เหมือนกับดินแดนในเทพนิยายเลยเชียว

        4. Columbia Icefield

        Columbia Icefield เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในเทือกเขา Canadian Rocky ตั้งอยู่ระหว่างเขตติดต่อของรัฐบริติชโคลัมเบีย และรัฐแอลเบอร์ตา โดยแผ่นน้ำแข็งนี้วางตัวทอดยาวอยู่ทางด้านใต้ของอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) และทางด้านเหนือของอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) มีพื้นที่ทั้งหมดราว ๆ 325 ตารางกิโลเมตร Columbia Icefields เป็นธารน้ำแข็งที่พิเศษ เพราะมีความลึกถึง 1,000 เมตร แม้กระทั่งหน้าร้อน ธารน้ำแข็งก็จะไม่ละลาย กิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่ คือคุณสามารถเดินบนลานน้ำแข็งแห่งนี้ได้ราวกับเป็นพื้นถนน พร้อมถ่ายภาพสวยๆ เป็นที่ระลึก หรือจะขึ้นไปชมนิทรรศการเกี่ยวกับ Glacier ภายใน Icefield Center นักท่องเที่ยวก็สามารถนั่งรถขับเคลื่อนหกล้อขนาดใหญ่เพื่อเข้าไปถ่ายรูปกลาง Icefields ได้เลย

        5. สแตนลีย์ ปาร์ค (Stanley Park) และเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver)

        สแตนลีย์ ปาร์ค สวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ดาวน์ทาวน์เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตที่ไม่ว่าใครได้มาเยือนเมืองนี้จะต้องแวะไปเที่ยวชม เพราะสวนสาธารณะแห่งนี้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ราว ๆ 400 เฮกตาร์ จึงเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามหลากหลายแบบทั้งป่าเขาและชายหาด มีจุดชมวิวเมืองแวนคูเวอร์ที่สวยงาม มีเส้นทางปั่นจักรยานสุดชิล มีร้านอาหารทะเลพร้อมวิวสวยปังของอ่าวและเมืองแวนคูเวอร์ให้ได้ไปสัมผัส อีกทั้งยังมีพื้นที่กิจกรรมให้เลือกทำอย่างครบรส

        เมืองแวนคูเวอร์ เป็นเมืองที่เจริญมากที่สุดเมืองหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและวัฒนธรรม โดยเฉพาะชาวเอเชีย เมื่อวัฒนธรรมแบบเอเชีย หล่อหลอมรวมกับสภาพอากาศที่อบอุ่นของเมืองแวนคูเวอร์ ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเลยล่ะ สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดเมื่อไปเยือนแวนคูเวอร์ อาทิ Capilano Suspension Bridge, Vancouver Lookout, Yaletown, Steam Clock in Gas Town, Dr. Sun Yat-Sen Classical Chinese Garden, Science World, Grouse Mountain, English Bay, Queen Elizabeth Park, Lynn Canyon Suspension Bridge เป็นต้น

        6. The Butchart Gardens

        ถ้าถามหาสวนดอกไม้ที่สวยงามมากที่สุดในโลก เชื่อได้เลยว่าจะต้องมีชื่อของ The Butchart Gardens เมือง Brentwood Bay รัฐบริติชโคลัมเบีย รวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่มีประวัติยาวนาน ภายในสวนเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ ที่ผลัดกันออกดอกบานสะพรั่งตลอดทั้งปี ซึ่งจะมีการแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ พร้อมทั้งจัดสวนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป อาทิ Sunken Garden, Rose Garden, Concert Lawn Walk, Japanese Garden, Italian Garden และ Mediterranean Garden นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนยังเหมาะแก่การสัมผัสประสบการณ์พิเศษอย่าง English Tradition of Afternoon Tea ที่นี่อีกด้วย

        7.น้ำตกไนแอการา (Naigara Falls)

        น้ำตกไนแอการา (Niagara Falls) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ซึ่งน้ำตกแห่งนี้จะประกอบด้วย 3 น้ำตกด้วยกัน คือน้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls) อยู่ทางฝั่งแคนาดา, น้ำตกอเมริกา (American Falls) อยู่ทางฝั่งสหรัฐอเมริกา และน้ำตก Bridal Veil อยู่ทางฝั่งอเมริกาเช่นกัน

        ซึ่งถ้าอยากเห็นน้ำตกทั้ง 3 แห่งในมุมสูง สามารถที่จะขึ้นหอคอยชมวิวได้จากทางฝั่งแคนาดา และทางฝั่งนี้ยังสามารถมองเห็นน้ำตกไนแอการาในวิวพาโนรามาได้แบบสวยสุด ๆ อีกด้วย หากใครมาเที่ยวชมในช่วงหน้าหนาว ก็จะเห็นน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง ยามค่ำคืนจะมีการแสดงแสงไฟอร่ามตาไปที่น้ำตก ถือได้ว่าที่นี่เป็น The Must ของแคนาดา

        8. เมืองวิกตอเรีย (Victoria)

        เมืองวิกตอเรีย ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแคนาดา อยู่บนเกาะแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เป็นเมืองท่าสุดเก่าแก่และมีความสวยงามมาก ๆ อีกแห่งหนึ่ง เป็นเมืองประวัติศาสตร์ เพราะเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเมืองหลวงของแคนาดาในช่วงปี ค.ศ. 1871 และเป็นเมืองที่ที่มีอากาศอบอุ่นที่สุดในประเทศ และมีวันที่อากาศแจ่มใสบ่อยกว่าเมืองแวนคูเวอร์บนแผ่นดินใหญ่ ในเมืองที่อากาศดีเช่นนี้ คุณจะสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งที่มีให้เลือกมากมายในวิกตอเรียได้สบายๆ

        สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของเมืองวิกตอเรีย อาทิ Craigdarroch Castle Historic House Museum, Whale Watching Tours, Hatley Park National Historic Site, Abkhazi Garden, Fort Rodd Hill & Fisgard Lighthouse, Bastion Square, Fairmont Empress,


        9. เมืองควิเบก (Quebec City)

        เมืองควิเบก เป็นเมืองเอกของรัฐควิเบก ที่นี่ได้ฉายาว่ายุโรปแห่งอเมริกาเหนือ เพราะอาคารบ้านเรือนจะมีลักษณะศิลปะแบบยุโรปเสียส่วนใหญ่ เป็นเมืองที่มีอากาศหนาวตลอดทั้งปี และผู้คนส่วนมากจะพูดภาษาฝรั่งเศส จึงทำให้บรรยากาศของเมืองควิเบกคล้ายคลึงกับยุโรปเลยทีเดียว และนั่นจึงทำให้ที่นี่เป็นเมืองที่โรแมนติกมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

        สถานที่ท่องเที่ยวควิเบกที่ห้ามพลาด อาทิ  Chateau Frontenac, Musee de la Civilisation, Citadelle of Quebec,  Parliament Hill, Notre Dame de Quebec, Ramparts of Quebec City, Plains of Abraham

        10. เมืองเยลโลไนฟ์ (Yellowknife)

        เมืองเยลโลไนฟ์ (Yellowknife) ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของประเทศแคนาดา ติดกับทะเลสาบ Great Slave Lake ในนอร์ทเวสต์เทอร์ริทอรีส์ (Northwest Territories) มีลักษณะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแถบนี้ และแน่นอนว่าเมืองเยลโลไนฟ์จะต้องมีอากาศที่หนาวเย็นมาก โดยเฉพาะหน้าหนาวที่บางปีอากาศจะติดลบลงไปถึง -50 องศาเซลเซียส บอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ชมแสงเหนือ (Aurora) ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในหน้าหนาวนักท่องเที่ยวจะแห่มาเยือนที่นี่กันมากมาย เพื่อชมความสวยงามของแสงเต้นระบำบนฟากฟ้า ใครอยากมีประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร อย่าได้พลาดเมืองนี้ไปเป็นอันขาด

        ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของที่เที่ยวแคนาดาเท่านั้น ประเทศทางตอนเหนือของอเมริกาเหนือแห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเด็ด ๆ ให้ไปค้นหากันอีกเพียบ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น คงต้องแพ็กกระเป๋าออกสำรวจด้วยตัวเองน่าจะดีกว่า 🙂

        แกลเลอรี่

        คำติชมจากลูกค้า

        • คุณทองกร
          ทริปญี่ปุ่นส่วนตัว 8 ท่าน (9-15 พ.ย 65)

          ทีมงานจัดอาหารได้เลิศมากคะ ได้แช่ออนเซ็นน้ำนม ได้ดูใบไม้เปลี่ยนสี นั้่งชินคันเซน ทริปนี้สนุกมากคะ

        • คุณชมพู่
          ทริปญี่ปุ่น 9-14 พ.ย 65

          ประทับใจ ไกด์ดูแลดี อาหารเลิศ !! ฟูจิของจริงสวยเกินบรรยาย ได้รูปสวยๆมาเต็มเลยคะ ทริปหน้าฮอกไกโดปีใหม่เจอกันคะ

        • คุณหมอส้ม
          ทริปครอบครัวส่วนตัวญี่ปุ่น 7 วัน 5 คืน

          พี่เปิ้ลดูและทีมงานออกแบบเส้นทางได้เยี่ยมมากคะ คุณพ่อ-แม่ ชอบมาก โดยเฉพาะใบไม้เปลี่ยนสีที่ อาโอโมริ สวยมากกกก

        • เอลฟ์
          กรุ๊ปศึกษาดูงานอเมริกา 34 ท่าน เดินทาง 11-17 พฤษจิกายน 2565

          ขอบคุณทีมงาน Apple World Travel ที่จัดทริปศึกษาดูงานครั้งนี้ให้ออกมาราบรื่น ทีมงานมืออาชีพ ไกด์ปีเตอร์ เก่งมากๆครับ

        • คุณพจมาน
          ทริปโตเกียว ฟูจิ 21-26 ตุลาคม 2565

          พี่เปิ้ลและทีมงานดูแลดีมากเลยคะ ไปครั้งนี้ฟ้าเปิดได้เห็นภูเขาไฟฟูจิเต็มๆ สวยมากๆ ประทับใจมากๆ ทริปสนุกมาก ครั้งหน้าจะไปยุโรปกับ Apple World Travel แน่นอนคะ

          จองผ่านไลน์
          banner